คิโมโน vs ยูกาตะ ต่างกันยังไง ใส่เมื่อไหร่

คิโมโน

เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่น หลายคนน่าจะเคยเห็นคนใส่ชุดแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมใช่มั้ย? แต่บางทีก็แอบงงว่า “นี่มันคิโมโนหรือยูกาตะกันแน่?” เพราะทั้งสองชุดหน้าตาคล้ายกันมากกกกก แต่จริง ๆ แล้วมีรายละเอียดที่ทำให้ต่างกันพอสมควร วันนี้เรามาเคลียร์กันให้ชัด ๆ แบบภาษาคนธรรมดา ไม่วิชาการเกินไป ว่าคิโมโนกับยูกาตะแตกต่างยังไง และเหมาะใส่ตอนไหนกันแน่

ชุดคิโมโน

คิโมโน คืออะไร?

คิโมโนหรือกิโมโน (Kimono) คือชุดประจำชาติของญี่ปุ่นที่มีประวัติยาวนานเป็นร้อย ๆ ปี คำว่าคิโมโน แปลตรงตัวได้ว่า “สิ่งที่ใส่บนตัว” (ki = ใส่, mono = สิ่งของ) ฟังดูง่าย ๆ แต่จริง ๆ แล้วคิโมโนมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น เพราะเป็นเสื้อผ้าที่ผูกพันกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณ

คิโมโนจะเป็นผ้าที่ทอต่อกันเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ไม่ตัดโค้งหรือเว้าเข้ารูป เวลาใส่จะต้องพันด้วยสายผ้าเรียกว่า โอบิ (Obi) ซึ่งกว้างและยาวมาก ต้องใช้วิธีผูกเป็นพิเศษ ทำให้การใส่คิโมโนไม่ใช่ว่าใครก็ใส่เองได้ ต้องอาศัยความชำนาญเลยล่ะ

นอกจากนี้ คิโมโนส่วนใหญ่ทำจากผ้าไหมหรือผ้าที่เนื้อดี ดูหรูหรา ใส่แล้วให้ความรู้สึกเป็นทางการมาก เหมาะกับงานพิธี งานแต่ง งานศพ หรืองานสำคัญ ๆ ต่าง ๆ

ชุดยูกาตะ

ยูกาตะ คืออะไร?

ส่วนยูกาตะ (Yukata) ก็คือชุดแบบญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่จะเบากว่า สบายกว่า และไม่เป็นทางการเท่าคิโมโน คำว่า “ยูกาตะ” มาจากคำว่า “ยู” = อาบน้ำ และ “คาตะ” = เสื้อผ้า เดิมทีเป็นชุดใส่หลังอาบน้ำ เหมือนเสื้อคลุมอาบน้ำในสมัยก่อนของญี่ปุ่น

ยูกาตะจะทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าลินินที่เบาและโปร่ง ระบายอากาศดีมาก เหมาะกับอากาศร้อน ๆ อย่างหน้าร้อนญี่ปุ่น เวลาเราเห็นคนใส่ยูกาตะมักจะเป็นตามเทศกาล เช่น งานดอกไม้ไฟ งานวัด หรือเวลาไปพักเรียวกัง (โรงแรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม) ก็จะมียูกาตะให้ใส่เดินในที่พัก

โอบิของยูกาตะก็ง่ายกว่าคิโมโน ไม่ซับซ้อน ใส่เองได้ไม่ยาก ทำให้ยูกาตะเป็นเหมือนชุดลำลองแบบญี่ปุ่นนั่นเอง

ความต่างหลัก ๆ ระหว่าง คิโมโน vs ยูกาตะ

  1. เนื้อผ้า
    • คิโมโนส่วนใหญ่ทำจากผ้าไหม หรือผ้าเนื้อดี ดูหรูหรา
    • ยูกาตะทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน เบา ใส่สบาย ระบายอากาศดี
  2. ความเป็นทางการ
    • คิโมโนใช้ในงานสำคัญ เป็นทางการ เช่น งานแต่ง งานรับปริญญา
    • ยูกาตะใช้ในชีวิตประจำวัน เทศกาล งานวัด หรือใส่เที่ยวเล่น
  3. ชั้นของชุด
    • คิโมโนมีหลายเลเยอร์ ต้องใส่เสื้อใน ชุดชั้นใน และมีผ้าหลายชั้น
    • ยูกาตะใส่ชั้นเดียวจบ ไม่ต้องมีเลเยอร์ให้วุ่นวาย
  4. โอบิ (ผ้าคาดเอว)
    • คิโมโนโอบิใหญ่และซับซ้อน ต้องใช้คนช่วยผูก
    • ยูกาตะโอบิเรียบง่าย ผูกเองได้
  5. รองเท้า
    • คิโมโนมักใส่คู่กับ ทาบิ (ถุงเท้าแบบแยกนิ้ว) และเกตะ (รองเท้าไม้)

ยูกาตะส่วนใหญ่ไม่ใส่ถุงเท้า ใส่แค่เกตะก็พอ

ใส่เมื่อไหร่ดี?

  • คิโมโนเหมาะกับงานพิธีที่เป็นทางการสุด ๆ เช่น งานแต่งงาน (เจ้าสาวญี่ปุ่นยังนิยมใส่คิโมโนขาวในพิธีชินโต) งานศพ งานครบรอบ งานพิธีการทางราชการ หรือแม้แต่การขึ้นปีใหม่ก็มีคนเลือกใส่คิโมโนไปไหว้พระ
  • ยูกาตะใช้ในโอกาสชิล ๆ อย่างงานเทศกาลหน้าร้อน (เช่น งานดอกไม้ไฟ Hanabi) งานเทศกาลโอบง (เทศกาลไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ) หรือใส่เวลาไปพักเรียวกัง ที่โรงแรมมักจะเตรียมยูกาตะไว้ให้แขกทุกคน

ทำไมหลายคนสับสน?

ก็เพราะทั้งคิโมโนและยูกาตะหน้าตาคล้ายกันมาก! ถ้ามองเผิน ๆ ก็คือชุดญี่ปุ่นแขนยาว ๆ คล้ายเสื้อคลุมเหมือนกัน แถมยังใช้โอบิผูกเอวเหมือนกันอีก เลยทำให้หลายคนรวมถึงนักท่องเที่ยวแยกไม่ออก

ทริคง่าย ๆ เลยก็คือ ถ้าเห็นผ้าเนื้อดี ดูหรู มีหลายชั้น แล้วใส่คู่กับถุงเท้าทาบิ → นั่นแหละคิโมโน
แต่ถ้าเห็นชุดเบา ๆ ใส่เดินงานวัดหรือเทศกาลหน้าร้อน ไม่ใส่ถุงเท้า → มักจะเป็นยูกาตะ

ราคาแตกต่างกันเยอะไหม?

โห…ต่างกันเยอะมาก!

  • คิโมโนแท้ ๆ ราคาเป็นแสนเยน (หมื่นกว่าบาทขึ้นไป) เพราะใช้ผ้าไหมและงานฝีมือที่ประณีตมาก

ยูกาตะราคาเบากว่าเยอะ เริ่มตั้งแต่พันกว่าบาทก็หาซื้อได้แล้ว โดยเฉพาะตามห้างหรือร้านขายของที่ระลึกในญี่ปุ่น

นักท่องเที่ยวควรเลือกใส่อะไรดี?

ถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอยากลองใส่ชุดญี่ปุ่นแนะนำให้เริ่มจาก ยูกาตะ ก่อน เพราะใส่ง่าย ไม่ต้องมีพิธีรีตรองมาก แถมยังเหมาะกับช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าว

แต่ถ้าอยากถ่ายรูปสวย ๆ แบบจัดเต็มในงานพิธีหรือสตูดิโอเช่าชุด ก็ลองเช่าคิโมโนไปเลย จะได้ฟีลหรูหราแบบญี่ปุ่นโบราณเต็ม ๆ แต่ต้องบอกก่อนนะว่าการใส่คิโมโนใช้เวลานานและอาจจะอึดอัดกว่ายูกาตะ

ความหมายทางวัฒนธรรม

คิโมโนถือเป็นสัญลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นที่ลึกซึ้งมาก มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงสถานะและโอกาส เช่น คิโมโนบางแบบใส่ได้เฉพาะคนแต่งงานแล้ว บางแบบใส่ได้เฉพาะเด็กผู้หญิงในพิธี Coming of Age Day

ส่วนยูกาตะไม่ซีเรียสขนาดนั้น เป็นเหมือนเสื้อผ้าแฟชั่นที่ทุกคนใส่ได้ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุหรือสถานะ เป็นเหมือนการใส่ชุดลำลองสวย ๆ ไปเที่ยวงาน

บทสรุป

คิโมโนกับยูกาตะถึงจะหน้าตาคล้ายกัน แต่จริง ๆ แล้วต่างกันทั้งวัสดุ ความเป็นทางการ และโอกาสที่ใส่ คิโมโนคือชุดหรูหรา ใช้ในงานพิธีใหญ่ ๆ ส่วนยูกาตะคือชุดเบา ๆ ใส่สบาย เหมาะกับงานเทศกาลหรือใส่เล่น ๆ

พูดง่าย ๆ ก็คือคิโมโน = สูทหรู ส่วนยูกาตะ = ชุดลำลองหน้าร้อน

ดังนั้นถ้าใครไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอยากลองใส่ชุดแบบดั้งเดิม ลองเลือกให้ตรงกับโอกาสจะได้ไม่เขินนะครับ

ถ้าใครชอบความสนุกแบบลุ้นโชคง่าย ๆ นอกจากลองใส่คิโมโนหรือยูกาตะแล้ว อย่าลืมแวะมาเสี่ยงโชคกับ เว็บหวยจ่ายไว Global Lotto ที่ให้คุณได้ลุ้นหวยไว เลขเด็ดทุกวัน เล่นง่าย ปลอดภัย จ่ายจริงไม่มีโกง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *